ภาพการแข่งขัน | วีดีโอคลิป
สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ
ผู้ชมในสนาม 75,369 คน
รายการ เอฟเอ คัพ
เวลา 21.00 น. วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2551
ผู้ตัดสิน ปีเตอร์ วอลตัน
1 ประตูจากคาร์ลอส เตเบซ และอีก 2 ประตูจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะและผ่านเข้ารอบที่ 5 ฟุตบอลเอฟเอ คัพ ได้
ในขณะที่ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเดินทางมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังสามารถทำประตูขึ้นนำได้ก่อน แต่แล้วก็ถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ตีเสมอและผลิกกลับมาเอาชนะได้ในที่สุด
ล่าสุดทีมของ รามอส เพิ่งเอาชนะอาร์เซนอล มาได้ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศถึง 5 – 1 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่พวกเขาสามารถเอาชนะทีมปืนใหญ่ได้ แต่ในเกมนี้พวกเขากลับไม่สามารถทำได้เช่นนั้น
พวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 1989 แต่พวกเขาก็เริ่มเกมในวันนี้ได้ดี และทำประตูขึ้นนำไปก่อนจากร็อบบี้ คีน ในนาทีที่ 24
เกมเริ่มขึ้นอย่างสนุก ทั้งสองทีมบุกใส่กันตั้งแต่ต้นเกม เวย์น รูนี่ย์ มีโอกาสถึง 2 ครั้งในช่วง 5 นาทีแรก เริ่มจากการได้ยิงจากระยะ 12 หลาแต่บอลก็เฉี่ยวเสาออกไป ตามด้วยการเปิดบอลเข้ากลางของไรอัน กิ๊กส์ ให้กับรูนี่ย์ แต่บอลก็ออกหลังไปก่อน
ทีมเยือนมีโอกาสบ้างในอีก 1 นาทีให้หลังจากลูกยิงของ ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ แต่ก็หลุดออกนอกกรอบไป ตามด้วยลูกโหม่งของเขาอีกครั้งในนาทีที่ 15 แต่รูนี่ย์ เข้ามาช่วยสกัดไว้ได้ทัน
การไม่มีเนมานย่า วิดิช ทำให้เซอร์ อเล็กซ์ ต้องส่งเวส บราวน์ ลงเล่นคู่กับริโอ เฟอร์ดินานด์ แทน และให้จอห์น โอเชีย ลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา
นาทีที่ 21 คาร์ลอส เตเบซ ได้โอกาสยิงบ้างจากระยะ 18 หลา แต่ไมเคิล ดอว์สัน ก็บล็อคไว้ได้
แต่แล้วนาทีที่ 24 สเปอร์ส ก็ขึ้นนำไปก่อน จากการหลุดขึ้นมาของอารอน เลนน่อน ก่อนจะจ่ายบอลเข้ากลาง บอลผ่านทั้งริโอ เฟอร์ดินานด์ และเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ไปถึงร็อบบี้ คีน ได้ยิงจากระยะเพียง 6 หลาเข้าประตูไป แมนฯ ยูไนเต็ด 0 สเปอร์ส 1
หลังจากเสียประตูแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามบุกเพื่อทวงประตูคืน แต่การเปิดบอลก็ยังคงไม่ผ่านแผงหลังของสเปอร์ส โอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดเกิดขึ้นในนาทีที่ 37 เมื่อไรอัน กิ๊กส์ ได้วอลเล่ย์จากระยะ 18 หลา แต่ ราเด็ก เซอร์นี่ย์ ก็ยังปัดออกไปได้ก่อนที่บอลจะโค้งเข้าสามเหลี่ยม แต่จากนั้นอีก 1 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้เฮ เมื่อไรอัน กิ๊กส์ ได้เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ากลางให้กับคาร์ลอส เตเบซ ที่วิ่งขึ้นมาในกรอบเขตโทษ ได้ยิงลูกเรียดเต็มข้อด้วยเท้าซ้ายเข้าประตูไป แมนฯ ยูไนเต็ด 1 สเปอร์ส 1
นาทีที่ 41 ไมเคิล คาร์ริค นักเตะเก่าสเปอร์ส ก็เกือบยิงทีมเก่าได้ จากลูกยิงในระยะ 20 หลา แต่บอลก็เหินข้ามคานออกไป
นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก สเปอร์สก็สร้างความหวาดเสียวให้แฟนปีศาจแดงใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อ เจอร์เมน เจนาส ได้บุกขึ้นไปยิง และทำให้ฟาน เดอร์ ซาร์ ต้องปัดไว้ด้วยปลายมือ หมดครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ 1 – 1
เริ่มครึ่งหลัง แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มส่งเสียงเฮ เมื่อได้เห็นพอล สโคลส์ ออกมาวอร์มที่ข้างสนาม หลังจากที่เขามีอาการบาดเจ็บ และไม่สามารถลงเล่นให้กับทีมได้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2007 แม้ว่าทีมของเซอร์ อเล็กซ์ ในตอนนี้จะอยู่ในฟอร์มที่ดี แต่การไม่มีสโคลส์ ในทีมก็เหมือนกับวงออร์เคสตร้า ที่ไม่มีวาทยกร
เกมในสนาม วันนี้เอฟร่าต้องทำงานหนักเพราะต้องรับมือกับการบุกที่ทะลุทะลวงของอารอน เลนน่อน และเขาก็มีโอกาสได้ชิพบอลโค้ง แต่น่าเสียดายที่ไปตกบนตาข่าย จากนั้น เจมี่ โอฮาร่า ก็ได้ยิงฟรีคิก แต่บอลก็หลุดออกนอกกรอบไป
จากนั้นนาทีที่ 55 เจอร์เมน เจนาส ก็ได้ยิงด้วยเท้าขวาจากระยะ 18 หลา แต่บอลก็หลุดออกนอกกรอบไป
นาทีที่ 59 แมนฯ ยูไนเต็ด ได้โอกาสบ้าง โดยคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้ยิง จากระยะเพียง 12 หลา แต่บอลก็เฉี่ยวเสาออกไป
และแล้วพอล สโคลส์ ก็ได้ลงสนามในนาทีที่ 65 โดยลงเล่นแทนไมเคิล คาร์ริค และการจับบอลจังหวะแรกของเขา ก็ได้ส่งบอลต่อให้กับโรนัลโด้ ด้วยน้ำหนัก และทิศทางที่พอเหมาะพอดีในแบบที่เขาทำได้ตลอดมา แม้เขาจะเพิ่งกลับมาลงสนามเป็นนัดแรกหลังจากบาดเจ็บไป 3 เดือน
และเสียงเชียร์ในโรงละครแห่งความฝันก็ดังกระหึ่มขึ้นอีก เมื่อ ปีเตอร์ วอลตัน ผู้ตัดสินเป่าให้แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จุดโทษ ในนาทีที่ 68 จากจังหวะที่ไมเคิล ดอว์สัน ใช้แขนปัดบอลในกรอบเขตโทษก่อนที่บอลจะไปถึงรูนี่ย์ และเขาก็ได้รับใบแดงไล่ออกจากสนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รับหน้าที่สังหารจุดโทษเช่นเคย และเขาก็ไม่พลาด ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 2 – 1
แม้จะเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน แต่สเปอร์ส ก็ยังไม่ย่อท้อ พวกเขายังคงโหมบุกอย่างหนักเพื่อตามตีเสมอ และก็เกือบทำได้ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม จากลูกฟรีคิกของ เจอร์เมน เดโฟ แต่จอห์น โอเชีย ก็สกัดไว้ได้
แต่แล้วสเปอร์ส ก็หมดสิทธิตีเสมอ เพราะแมนฯ ยูไนเต็ด สามารถยิงประตูปิดท้ายได้สำเร็จในนาทีที่ 88 จากลูกยิงด้วยเท้าขวาของโรนัลโด้ บอลพุ่งผ่านกองหลังของสเปอร์ส ก่อนที่จะลอดตัวของ ราเด็ก เซอร์นี่ย์ เข้าประตูไป แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำเป็น 3 – 1
จบเกมแมนฯ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะสเปอร์ส มาได้ 3 – 1 เป็นอีก 1 ทีมใหญ่ที่ผ่านเข้ารอบที่ 5 เอฟเอ คัพ ไปได้หลังจากที่ 3 ทีมใหญ่ที่เหลือผ่านเข้ารอบไปก่อนหน้านี้แล้ว (บรรยายเกมโดย โอปอล)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 1
เวส บราวน์ 6
ปาทริซ เอฟร่า 3 ( น.45)
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
จอห์น โอเชีย 22
ไมเคิล คาร์ริค 16
ไรอัน กิ๊กส์ 11
โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ 4
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7 ( จุดโทษ น.69, น.88)
เวย์น รูนี่ย์ 10
คาร์ลอส เตเบซ 32 ( น.38)
สำรอง
โทมัสซ์ คุสซ์แซค 29
โอลิเวียร่า แอนเดอร์สัน 8 น.81 คาร์ลอส เตเบซ 32
แดนนี่ ซิมป์สัน 25 น.90 ปาทริซ เอฟร่า 3
หลุยส์ นานี่ 17
พอล สโคลส์ 18 น.64 ไมเคิล คาร์ริค 16
ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์
ราเด็ก เซอร์นี่ย์ 12
ไมเคิล ดอว์สัน 20 ( น.68)
ลี ยองเปียว 3
ทอม ฮัดเดิ้ลสโตน 22
เจอร์แมน เจนาส 8
อารอน เลนน่อน 25
สตีด มัลบร็องก์ 15
เจมี่ โอฮาร่า 24
ตีมู เตนิโอ 6
ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ 9
ร็อบบี้ คีน 10 ( น.24)
สำรอง
พอล โรบินสัน 1
คริส กันเตอร์ 44 น.59 ลี ยองเปียว 3
ยูเนส คาบูล 5
เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง 17 น.72อารอน เลนน่อน 25
เจอร์เมน เดโฟ 18 น.81 ตีมู เตนิโอ 6
สถิติของเกม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประตู 3, ยิงตรงกรอบ 8, ยิงหลุดกรอบ 10, โดนบล็อค 9, เตะมุม 10, ฟาวล์ 8, ล้ำหน้า 1, ใบเหลือง 1, การครองบอล 58.6%
ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ประตู 1, ยิงตรงกรอบ 3, ยิงหลุดกรอบ 4, โดนบล็อค 5, เตะมุม 4, ฟาวล์ 8, ล้ำหน้า 3, ใบแดง 1, การครองบอล 41.4%
คะแนนความสามารถ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 7, เวส บราวน์ 6, ปาทริซ เอฟร่า 6, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 7, จอห์น โอเชีย 6, ไมเคิล คาร์ริค 7, ไรอัน กิ๊กส์ 7, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ 8, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 8, เวย์น รูนี่ย์ 7, คาร์ลอส เตเบซ 8
สำรอง โอลิเวียร่า แอนเดอร์สัน 7, แดนนี่ ซิมป์สัน 6, พอล สโคลส์ 7
ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ราเด็ก เซอร์นี่ย์ 5, ไมเคิล ดอว์สัน 4, ลี ยองเปียว 8, ทอม ฮัดเดิ้ลสโตน 6, เจอร์แมน เจนาส 6, อารอน เลนน่อน 7, สตีด มัลบร็องก์ 6, เจมี่ โอฮาร่า 7, ตีมู เตนิโอ 6, ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ 6, ร็อบบี้ คีน 7
สำรอง คริส กันเตอร์ 5, เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง 5, เจอร์เมน เดโฟ 5
Por